Login

Register

Login

Register

Login

Register

RPA ตัวช่วยลดการทำงาน เพื่อธุรกิจในยุค Digital

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันในโลกธุรกิจเป็นไปอย่างดุเดือดและไม่หยุดยั้ง การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและกำลังมาแรงในการช่วยเหลือธุรกิจให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพคือระบบ RPA หรือ Robotic Process Automation ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดการทำงานซ้ำซากและเพิ่มความเร็วให้กับกระบวนการทำงานขององค์กรได้อย่างมาก

 

 

RPA คือการใช้ซอฟต์แวร์หรือ ‘หุ่นยนต์’ ในการจำลองกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำซ้ำๆ บนคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดการงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและกระบวนการต่างๆ ที่ต้องใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระบบ RPA สามารถเขียนโปรแกรมให้ทำงานต่างๆ เช่น การป้อนข้อมูล, การอัพเดตข้อมูล, การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารหรือเว็บไซต์, และการจัดการข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ
.

.

✅ ประโยชน์ของ RPA ในธุรกิจยุค Digital
1. ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและไม่มีข้อผิดพลาด โดยทำงานที่ซ้ำซากและเวลานานให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
2. ช่วยให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการจ้างงานและการฝึกอบรมพนักงานเพื่อทำงานซ้ำๆ ที่ไม่เพิ่มค่าให้กับธุรกิจ
3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วยความสามารถในการทำงานได้อย่างไม่หยุดหย่อนและมีประสิทธิภาพสูง RPA ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น
4. ระบบ RPA มีความแม่นยำสูงและลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดของมนุษย์ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยในการดำเนินงานข้อมูล
.
🔸 การประยุกต์ใช้ RPA ในอุตสาหกรรมต่างๆ
RPA ได้รับความนิยมในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน, การบัญชี, การธนาคาร, การประกันภัย, การดูแลสุขภาพ, และการผลิต ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจการธนาคาร RPA สามารถใช้เพื่ออัตโนมัติการประมวลผลคำขอสินเชื่อ, การตรวจสอบและประมวลผลการทำธุรกรรม และการจัดการข้อร้องเรียนของลูกค้า
.
🔸 อนาคตของ RPA ในยุค Digital
การพัฒนาของเทคโนโลยี RPA ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และมันกำลังเริ่มรวมเข้ากับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ซึ่งจะช่วยให้ระบบ RPA มีความฉลาดและมีความสามารถในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น การใช้งาน RPA ในธุรกิจไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซากและเวลานานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและยกระดับการให้บริการขององค์กรในยุคดิจิทัล สำหรับธุรกิจที่ต้องการคงความเป็นผู้นำและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง RPA คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
.
——
ติดต่อ 𝐎𝐆𝐀 𝐈𝐧𝐭𝐞𝐫𝐧𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧𝐚𝐥 𝐂𝐨., 𝐋𝐭𝐝.
Tel. 02-0258888
Line : @ogagroup

 

 

OGA ออกบูธในงาน Logimat Southeast Asia

LogiMAT Southeast Asia 2024 . งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีชั้นนำด้านอินทราโลจิสติกส์ คลังสินค้าอัจฉริยะ และกระบวนการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ร่วมกับ LogiFOOD Southeast Asia งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์อาหารครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก . . ทาง OGA ยกขบวนสินค้าแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด แสกนเนอร์ Mobile Computer ของทาง Honeywell มาพร้อมซอร์ฟแวร์สร้างบาร์โค้ด จากทาง Bartender อีกทั้งยังมีสติ๊กเกอร์บาร์โค้ดทุกชนิด ทุกเนื้อกระดาษ และริบบอนแบรนด์ inkanto บอกเลยว่างานนี้จัดเต็ม ตอบโจทย์ในหลายธุรกิจ .       .     .     . ทาง OGA ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเยี่ยมชมบูธของทางเรา และให้การตอบรับที่ดี เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและให้ข้อมูลด้านโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ในธุรกิจของลูกค้าทุกท่าน .         . . —– […]

ความแตกต่าง Barcode, QR Code และ RFID

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การใช้งานระบบระบุและติดตามข้อมูลต่าง ๆ ก็ยิ่งมีความสำคัญและแพร่หลายออกไป เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในการระบุและติดตามข้อมูลที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ Barcode, QR Code, และ RFID ทั้งสามเทคโนโลยีนี้มีคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสามเทคโนโลยี 1. Barcode (บาร์โค้ด) บาร์โค้ดเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้มานานและแพร่หลายที่สุด โดยทั่วไปจะเป็นเส้นคู่ขนานสีดำและขาว ที่มีการเรียงรหัสข้อมูลตามรูปแบบเส้นเพื่อบ่งบอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น หมายเลขสินค้า วันผลิต หรือราคาสินค้า ข้อมูลในบาร์โค้ดสามารถอ่านได้ด้วยเครื่องสแกนบาร์โค้ด ซึ่งมีการใช้งานในหลากหลายธุรกิจ เช่น ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และคลังสินค้า   ข้อดี ● ราคาถูกและหาได้ง่าย ● ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการความเร็วในการอ่านข้อมูล ข้อเสีย ● มีความจุข้อมูลจำกัด ● ต้องใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ดในการอ่านข้อมูล 2. QR Code (คิวอาร์โค้ด) QR Code เป็นการพัฒนามาจากบาร์โค้ดที่เพิ่มความสามารถในการเก็บข้อมูลที่มากขึ้นและซับซ้อนกว่า QR Code มีรูปแบบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีจุดและลวดลายต่าง ๆ ที่สามารถอ่านได้จากทุกทิศทาง ทำให้มีการใช้งานที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลที่มากกว่าบาร์โค้ด   […]

บาร์โค้ด 1D กับ 2D แตกต่างกันอย่างไร

บาร์โค้ดเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุข้อมูลและติดตามผลิตภัณฑ์โดยการสแกน บาร์โค้ดแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ บาร์โค้ดแบบ 1D (One-Dimensional) และบาร์โค้ดแบบ 2D (Two-Dimensional) บาร์โค้ดทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของรูปแบบและการใช้งาน . . ▶ บาร์โค้ดแบบ 1D (One-Dimensional Barcode) . . ลักษณะ บาร์โค้ดแบบ 1D เป็นบาร์โค้ดที่มีลักษณะเป็นแถบเส้นที่เรียงตัวกันในแนวเดียว (แนวนอน) เส้นเหล่านี้ประกอบไปด้วยเส้นสีดำและช่องว่างสีขาวที่มีความกว้างและขนาดแตกต่างกัน ข้อมูลที่เก็บอยู่ในบาร์โค้ดแบบ 1D จะอยู่ในรูปแบบของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งอ่านได้โดยการสแกนจากซ้ายไปขวา สามารถเก็บข้อมูลได้จำกัด ประมาณ 20–25 อักขระ การใช้งาน ● สินค้าทั่วไปในร้านค้า : ใช้ในการสแกนและระบุสินค้าที่แคชเชียร์ ● การจัดการคลังสินค้า : ใช้ในการติดตามสินค้าและการตรวจนับสินค้าในคลัง ● อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ : ใช้ในการติดตามพัสดุและการขนส่งสินค้า . . ▶ บาร์โค้ดแบบ 2D (Two-Dimensional Barcode) . . […]

Login