Login

Register

Login

Register

Login

Register

มาตรฐาน IP คืออะไร

มาตรฐาน IP (Ingress Protection) เป็นระบบการจัดระดับการป้องกันของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากการเข้าถึงของฝุ่นและน้ำ โดย IP จะย่อมาจาก “Ingress Protection” หรือ “International Protection” มาตรฐานนี้ถูกกำหนดโดย International Electrotechnical Commission (IEC) เพื่อใช้วัดความสามารถในการป้องกันของอุปกรณ์จากสภาวะแวดล้อมภายนอก
.
.
โครงสร้างของมาตรฐาน IP
รหัส IP ประกอบด้วยตัวอักษรสองตัวที่ตามด้วยตัวเลขสองหลัก ตัวอย่างเช่น IP67 แต่ละตัวเลขในรหัสนี้มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง:
 
• ตัวเลขหลักแรก: แสดงระดับการป้องกันของอุปกรณ์จากการเข้าถึงของวัตถุแข็ง เช่น ฝุ่น หรือการสัมผัสจากมือหรือนิ้ว
 
0: ไม่มีการป้องกัน
1: ป้องกันวัตถุแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 มิลลิเมตร
2: ป้องกันวัตถุแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 12.5 มิลลิเมตร
3: ป้องกันวัตถุแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 มิลลิเมตร
4: ป้องกันวัตถุแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 มิลลิเมตร
5: ป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง
6: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์
 
• ตัวเลขหลักที่สอง: แสดงระดับการป้องกันของอุปกรณ์จากการเข้าถึงของน้ำ
 
0: ไม่มีการป้องกัน
1: ป้องกันน้ำหยดที่ตกลงมาในแนวตั้ง
2: ป้องกันน้ำหยดเมื่ออุปกรณ์เอียงไม่เกิน 15 องศา
3: ป้องกันสายน้ำที่ฉีดมาจากมุมใดก็ได้ไม่เกิน 60 องศา
4: ป้องกันการฉีดน้ำจากทุกทิศทาง
5: ป้องกันน้ำที่ฉีดมาจากหัวฉีด (น้ำพุ)
6: ป้องกันการฉีดน้ำแรงสูง
7: ป้องกันการจมน้ำในระยะเวลาสั้น
8: ป้องกันการจมน้ำในระยะเวลานาน
9: ป้องกันน้ำที่มาจากการฉีดแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง
.
.

ความสำคัญของมาตรฐาน IP

การรู้จักและเข้าใจมาตรฐาน IP เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งานและผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพราะ

  1. ความปลอดภัย: มาตรฐาน IP ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบว่าอุปกรณ์นั้นสามารถใช้งานในสภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นหรือน้ำได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานผิดวิธี
  2. การเลือกใช้งาน: ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมการทำงาน เช่น อุปกรณ์ที่มีรหัส IP67 จะสามารถใช้ในสถานที่ที่มีฝุ่นมากและสามารถจมน้ำได้ในระยะเวลาสั้น
  3. ความน่าเชื่อถือ: มาตรฐาน IP ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในเรื่องของคุณภาพและความทนทานของอุปกรณ์

 

มาตรฐาน IP เป็นเครื่องมือสำคัญในการบอกระดับการป้องกันของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากฝุ่นและน้ำ โดยการทำความเข้าใจในรหัส IP จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
References: https://www.omi.co.th/th/article/มาตรฐาน-ip
—–
ติดต่อ 𝐎𝐆𝐀 𝐈𝐧𝐭𝐞𝐫𝐧𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧𝐚𝐥 ได้ที่
Line Office : @ogagroup
โทรศัพท์ : 02-0258888
https://www.oga.co.th
.

OGA ออกบูธในงาน Logimat Southeast Asia

LogiMAT Southeast Asia 2024 . งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีชั้นนำด้านอินทราโลจิสติกส์ คลังสินค้าอัจฉริยะ และกระบวนการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ร่วมกับ LogiFOOD Southeast Asia งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์อาหารครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก . . ทาง OGA ยกขบวนสินค้าแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด แสกนเนอร์ Mobile Computer ของทาง Honeywell มาพร้อมซอร์ฟแวร์สร้างบาร์โค้ด จากทาง Bartender อีกทั้งยังมีสติ๊กเกอร์บาร์โค้ดทุกชนิด ทุกเนื้อกระดาษ และริบบอนแบรนด์ inkanto บอกเลยว่างานนี้จัดเต็ม ตอบโจทย์ในหลายธุรกิจ .       .     .     . ทาง OGA ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเยี่ยมชมบูธของทางเรา และให้การตอบรับที่ดี เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและให้ข้อมูลด้านโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ในธุรกิจของลูกค้าทุกท่าน .         . . —– […]

ความแตกต่าง Barcode, QR Code และ RFID

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การใช้งานระบบระบุและติดตามข้อมูลต่าง ๆ ก็ยิ่งมีความสำคัญและแพร่หลายออกไป เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในการระบุและติดตามข้อมูลที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ Barcode, QR Code, และ RFID ทั้งสามเทคโนโลยีนี้มีคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสามเทคโนโลยี 1. Barcode (บาร์โค้ด) บาร์โค้ดเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้มานานและแพร่หลายที่สุด โดยทั่วไปจะเป็นเส้นคู่ขนานสีดำและขาว ที่มีการเรียงรหัสข้อมูลตามรูปแบบเส้นเพื่อบ่งบอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น หมายเลขสินค้า วันผลิต หรือราคาสินค้า ข้อมูลในบาร์โค้ดสามารถอ่านได้ด้วยเครื่องสแกนบาร์โค้ด ซึ่งมีการใช้งานในหลากหลายธุรกิจ เช่น ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และคลังสินค้า   ข้อดี ● ราคาถูกและหาได้ง่าย ● ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการความเร็วในการอ่านข้อมูล ข้อเสีย ● มีความจุข้อมูลจำกัด ● ต้องใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ดในการอ่านข้อมูล 2. QR Code (คิวอาร์โค้ด) QR Code เป็นการพัฒนามาจากบาร์โค้ดที่เพิ่มความสามารถในการเก็บข้อมูลที่มากขึ้นและซับซ้อนกว่า QR Code มีรูปแบบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีจุดและลวดลายต่าง ๆ ที่สามารถอ่านได้จากทุกทิศทาง ทำให้มีการใช้งานที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลที่มากกว่าบาร์โค้ด   […]

บาร์โค้ด 1D กับ 2D แตกต่างกันอย่างไร

บาร์โค้ดเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุข้อมูลและติดตามผลิตภัณฑ์โดยการสแกน บาร์โค้ดแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ บาร์โค้ดแบบ 1D (One-Dimensional) และบาร์โค้ดแบบ 2D (Two-Dimensional) บาร์โค้ดทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของรูปแบบและการใช้งาน . . ▶ บาร์โค้ดแบบ 1D (One-Dimensional Barcode) . . ลักษณะ บาร์โค้ดแบบ 1D เป็นบาร์โค้ดที่มีลักษณะเป็นแถบเส้นที่เรียงตัวกันในแนวเดียว (แนวนอน) เส้นเหล่านี้ประกอบไปด้วยเส้นสีดำและช่องว่างสีขาวที่มีความกว้างและขนาดแตกต่างกัน ข้อมูลที่เก็บอยู่ในบาร์โค้ดแบบ 1D จะอยู่ในรูปแบบของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งอ่านได้โดยการสแกนจากซ้ายไปขวา สามารถเก็บข้อมูลได้จำกัด ประมาณ 20–25 อักขระ การใช้งาน ● สินค้าทั่วไปในร้านค้า : ใช้ในการสแกนและระบุสินค้าที่แคชเชียร์ ● การจัดการคลังสินค้า : ใช้ในการติดตามสินค้าและการตรวจนับสินค้าในคลัง ● อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ : ใช้ในการติดตามพัสดุและการขนส่งสินค้า . . ▶ บาร์โค้ดแบบ 2D (Two-Dimensional Barcode) . . […]

Login